พยานจากมิตรสหายของพระเยซูยืนยันว่าพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์
นอกจากศัตรูแล้วยังมีพวกมิตรสหายของพระเยซูอีกที่เชื่อ
พวกนี้เป็นพวกที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ตั้งแต่จนถึงพระเยซูถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์
การเป็นพยานของพวกนี้มีน้ำหนักมากยิ่งกว่าพวกใดในเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
1. พยานจากพวกอัครสาวก
พระเยซูได้ทรงเริ่มกระทำพระราชกิจโดยออกไปสั่งสอนประชาชนทั้งหลาย
เมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้สามสิบพรรษา พระองค์ได้ทรงเลือกอัครสาวก 12
คนเพื่อช่วยประกาศข่าวประเสริฐแก่ชนทั้งหลาย
อัครสาวกเหล่านี้ทุกคนอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูเสมอตั้งแต่วันที่พระเยซูรับบัพิตศมาจากโยฮัน
อัครสาวกเป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับพระเยซู
ได้เห็นพระองค์ทำการสั่งสอนประชาชนเป็นจำนวนมากๆ
ได้เห็นพระองค์รักษาคนเจ็บป่วย เห็นพระองค์ได้ทำให้คนเป็นขึ้นมาจากตาย
เห็นพระองค์ทรงเลี้ยงคน 5,000 คนด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว
เห็นพระองค์ทรงห้ามลมพายุได้ เห็นความรักและความเมตตาของพระองค์ต่อชนทั้งหลาย
อัครสาวกรู้แน่ว่าพระเยซูมิใช่เป็นมนุษย์ธรรมดา เขาทั้งหลายได้สารภาพว่า
"พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า" (มัดธาย 16.16)
ครั้นเมื่อพระเยซูได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนอัครสาวกเหล่านี้พากันหนีไปหมด
พวกเขาได้ลืมคำสัญญาของพระองค์เสียแล้ว
พวกอัครสาวกไม่ได้มีความหวังเลยว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากตายจริงในวันที่สาม
พระเยซูคริสต์เจ้าได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงสมกับที่พระองค์ได้กล่าวไว้
แต่ยังไม่มีอัครสาวกคนใดรู้เรื่อง รุ่งขึ้นเช้าตรู่ของวันอาทิตย์นางมาเรียมัฆดาราศิษย์ของพระเยซูคนหนึ่งได้เอาน้ำอบไปที่อุโมงค์ของพระเยซู
เพื่อจะไปพรมพระศพของพระเยซูโดยที่ไม่คาดฝัน
เมื่อไปถึงอุโมงค์เธอก็ประหลาดใจที่ได้เห็นอุโมงค์เปิดว่างอยู่
เธอได้ร้องไห้คิดว่าขโมยเอาพระศพของพระเยซูไป
แต่พระเยซูได้ปรากฏแก่นางและกำชับให้เข้าไปในเมืองบอกสาวกทั้งหลายทราบ นางมาเรียเมื่อได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายด้วยตาของตนเองก็มีความดีใจรีบวิ่งเข้าไปในเมืองบอกให้อัครสาวกทุกคนทราบ
บรรดาอัครสาวกเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของนางมาเรียต่างก็มีความฉงนสนเท่ห์ เปโตรกับโยฮันได้วิ่งไปดูที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู
แต่เมื่อไปก็ไม่ได้เห็นพระเยซู เห็นอุโมงค์เปิดอยู่
ไม่มีทหารยามเฝ้าอยู่ ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปในเมือง บอกกับสาวกอื่น ๆ
ว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
ในเวลาใกล้เคียงกันพระเยซูได้ปรากฏแก่ศิษย์สองคนบนทางที่จะเดินทางไปบ้านเอ็มมาอู
หมู่บ้านนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงยะรูซาเล็ม
ต้องเดินสองหรือสามชั่วโมง คนหนึ่งชื่อ เกลียวปา แต่อีกคนไม่ปรากฏนาม
พระเยซูได้ทรงสนทนากับเขาทั้งสอง แต่เขาทั้งสองตาฝ้าฟางจำพระเยซูไม่ได้
พระเยซูได้อธิบายข้อพระคัมภีร์เรื่องเป็นขึ้นมาจากตายของพระองค์
เมื่อพระเยซูได้ละไปจากเขาทั้งสอง เขาจึงระลึกได้ว่าเป็นพระเยซูคริสต์
คนทั้งสองจึงรีบเข้าไปในกรุงยะรูซาเล็ม
และพบอัครสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมและกล่าวว่า "พระองค์ผู้เป็นเจ้า
ทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริง ๆ"
หลังจากที่พระเยซูได้ปรากฏแก่สาวกสองคน พระองค์ได้ปรากฏแก่อัครสาวกเปโตรในวันเดียวกันนั้น
(ลูกา 24.34) ต่อมาพระองค์ได้ปรากฏแก่อัครสาวกซึ่งมีโธมาด้วย
ต่อมาพระองค์ได้ปรากฏแก่ฝูงชนจำนวน 500 คนในเวลาเดียวกันที่บนภูเขาที่ฆาลิลาย (มัดธาย
28.16-20) ครั้งสุดท้ายพระองค์ได้ทรงปรากฏแก่อัครสาวกเปาโล (1โกรินโธ 15.5-8)
การเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูมิใช่เป็นไปโดยบังเอิญ
แต่เป็นโครงการของพระเจ้า
เรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายเป็นความจริงที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
พวกโรมที่มีความเกี่ยวข้องและพวกปุโรหิตรู้เรื่องนี้ดี
สิ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องยอมรับก็คือว่า พระเยซูได้ทำการสั่งสอน
ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์โดยมีทหารโรมเฝ้าอยู่
ที่อุโมงค์มีประตูซึ่งทำด้วยหินปิดอยู่พร้อมด้วยตราของรัฐบาลโรมันประทับ
ความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับก็คือว่าวันที่สามพระเยซูหายไป, หายไปได้อย่างไร?
ใครเป็นผู้เอาไป ใครจะยอมเสี่ยงกับชีวิตเพื่อแลกกับศพของพระเยซู
พวกศัตรูของพระเยซูไม่มีความต้องการพระศพของพระองค์
เขาดีใจที่ได้เห็นพระเยซูถูกฆ่า
ถ้าผู้ใดจะเอาศพไปก็เอาไปไม่ได้เพราะทหารโรมเฝ้าอยู่
ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตของตนเองกับสิ่งที่ตนเองเกลียด
ถ้าศัตรูของพระเยซูได้ได้เอาไปแล้วใครเล่าที่เอาไป
พวกศิษย์ของพระเยซูขโมยเอาพระศพของพระเยซูไปหรือ
อัครสาวกจะเข้าไปได้อย่างมีทหารยามเฝ้าอยู่
ไม่มีสาวกคนใดยอมเสี่ยงชีวิตขโมยเอาพระศพไป
แท้จริงแล้วศิษย์ของพระเยซูไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระศพของพระเยซู
เป็นที่น่าสังเกตว่าทหารยามจะเปิดโอกาสให้คนอื่นขโมยเอาพระศพไปไม่ได้
ย่อมมีโทษถึงตายเช่นกัน ในอุโมงค์ของพระเยซูว่างเปล่า
มีแต่ผ้าป่านพันวางไว้อย่างดี ความจริงก็คือว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย
และได้ทรงปรากฏแก่บรรดาชนทั้งหลาย ถ้อยคำในหนังสือกิจการ 1.3
"ครั้นพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่จำพวกนั้น
ด้วยการพิสูจน์หลายอย่างให้เขาเห็นว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่
และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน"
การปรากฏตัวของพระเยซูต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์
ทำให้ความเชื่อของเหล่าสาวกฟื้นขึ้นใหม่
และเมื่อพระเยซูได้สำแดงข้อพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น เช่น
แสดงรอยตะปูที่ฝ่ามือละฝ่าเท้า
และรอยหอกแทงที่สีข้างก็ยิ่งทำให้เขาทั้งหลายเกิดความเชื่อมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ทำให้เหล่าสาวกระลึกถึงข้อความของพระเยซูและคำพยากรณ์ที่ได้ตรัสไว้ว่า
พระองค์จะสิ้นพระชนม์สามวันและพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่
แท้จริงแล้วพวกสาวกไม่มีความหวังเลยว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากตายจริง ๆ
เมื่อพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจริง ๆ
เหล่าสาวกจึงมีความกล้าหาญออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดพ้นบาปในนามพระเยซูคริสต์
พวกเหล่านี้ได้อ้างพยานและข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
หลังจากที่พระเยซูได้ปรากฏแก่เหล่าสาวกแล้ว
พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ท่ามกลางสายตาของเหล่าสาวกของพระองค์ (ลูกา
24.50-52, กิจการ 1.9-11) ฝ่ายเหล่าสาวกเมื่อได้รู้แจ้งว่า
พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย และเสด็จอำลาไปจากเขาทั้งหลาย
เขาได้ประกาศความจริงกึกก้องไปทั่วทุกแห่งในโลกทั้งพวกยิวและชาวต่างชาติ
เขาทั้งหลายเดินทางไปประกาศที่ยะรูซาเล็ม, มณฑลยูดาย, มณฑลซะมาเรีย,
ยุโรป, อิตาลี, เอธิโอเปีย, สเปน, อินเดีย
ถ้าเราศึกษาดูในประวัติศาสตร์
เราจะพบว่าสาวกทุกคนของพระเยซูได้ประกาศเรื่องการสิ้นพระชนม์, การถูกฝังไว้
และการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
คำเทศนาเรื่องนี้มีอานุภาพดึงดูดคนทั่วทั้งทวีปเอเซียและยุโรปให้เป็นคริสเตียน
(กิจการ 2.41, 3.18, 7.52, 8.12, 35)
พยานของอัครสาวกมีน้ำหนักมาก
ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันแสดงว่าคำพยานของเขาทั้งหลายเชื่อถือได้
อัครสาวกโยฮันได้แสดงอุดมคติในการเป็นพยานของเขาไว้ดังนี้
"ซึ่งได้ทรงเป็นอยู่แต่เดิมนั้น, ซึ่งเราได้ยิน, ซึ่งเราได้เห็น้วยตา,
ซึ่งเราได้พินิจดู, และมือของเราได้ถูกต้องซึ่งเกี่ยวกับพระวาทะอันทรงชีวิตอยู่
(และชีวิตนั้นได้ปรากฏและเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์แก่ท่านทั้งหลาย"
(1โยฮัน 1.1-2)
ผลจากการที่เหล่าอัครสาวกออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูนี้เอง
ทำให้เขาทั้งหลายถูกฆ่าตายสิ้นเกือบทุกคนเว้นแต่อัครสาวกโยฮันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกฆ่าตาย
แต่เขาเองได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะปัตโมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เพราะถูกข่มเหงจากพวกรัฐบาลโรม
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกการตายของอัครสาวกในแบบต่างกัน บางคนได้ถูกตัดศีรษะ,
บ้างถูกตรึงบนกางเขน, ถูกไฟเผาทั้งเป็น
โดยหลักฐานเหล่านี้นักศึกษาคงเห็นแล้วว่า เรื่องการเป็ฯขึ้นมาจากตายมิใช่เป็นเรื่องที่เขาประกาศเล่น
ๆ เพราะพวกอัครสาวกทุกคนได้ยอมสละชีวิตของเขาสิ้นทุกคน ลองคิดดูซิว่า
ทำไมทุกคนได้ยอมตาย มีทางที่เราจะพิจารณาข้อเท็จจริง 3 ประการคือ
ประการแรก
อัครสาวกคงเป็นโรคจิตใจบ้าคลั่ง
ปั้นเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูขึ้นเอง เขาประกาศไปด้วยความบ้าคลั่ง
พวกอัครสาวกไม่ใช่เป็นผู้เสียสติ เพราะผลจากการเทศนาของเขาทั้งหลาย
มีคนจำนวนมากนับไม่ถ้วนเชื่อคำเทศนาของเขา
คนเสียสติย่อมทำงานไม่ได้ผลอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเราอ่านหนังสือที่เขาทุกคนได้เขียนขึ้นเราต้องยอมรับว่า
หนังสือของเขาทุกคนมีเหตุมีผล
ประการที่สอง ถ้าอัครสาวกเหล่านั้นไม่เสียสติเขาก็คงจะพูดมุสา
อุปโลกเรื่องราวว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย
อย่าลืมว่าคนที่พูดมุสาไม่สามารถจะเก็บความลับไว้ได้
ถ้าเขามุสาก็ต้องมีเบื้องหลังที่ทำให้เขามุสา
เขามีความจำเป็นที่ต้องพูดมุสาหรือเขาอยากได้อะไร, เงินทองและชื่อเสียงหรือ?
เปล่า พวกเขาเหล่านี้ได้สละบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติเพื่อติดตามพระเยซู
เขาไม่ประสงค์อะไรจากพระเยซู พระเยซูไม่ได้สัญญาที่จะให้เงินทองแก่เขา
แท้จริงพระเยซูได้บอกล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะได้รับความลำบากทุกคน
เพราะฉะนั้นเงินทองและชื่อเสียงไม่เป็นเหตุทำให้เขามุสาแน่
อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจมีความกลัวหรืออยากจะปกปิดความผิด
ไม่เป็นความจริงเลย
พวกอัครสาวกไม่เคยกลัวผู้ใดแม้กระทั่งผู้มีอำนาจปกครองประเทศ
ทุกคนยอมพลีชีพเพื่อประกาศว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย เพราะฉะนั้นจึงสรุปว่า
การที่อัครสาวกยอมเสียสละชีวิตของเขาทุกคน ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นผู้เสียสติ
ไม่ใช่เพราะเขามุสา แต่เป็นเพราะเขาทั้งหลายได้ประกาศความจริง
ตามที่เขาเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของเขาว่า
พระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาแน่นอน
ไม่มีพยานที่ไหนที่จะทำได้ดีกว่านี้อีกแล้วที่จะยอมเสี่ยงเอาชีวิตของตนเป็นเดิมพัน
แสดงว่าอานุภาพของพระเยซูที่มีต่อจิตใจของอัครสาวกไม่อาจหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาฉุดกระชากออกไปได้
2. พยานของคริสเตียนยุคแรกเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
พวกคริสเตียนในสมัยเริ่มแรกเกิดมีกำลังใจอันมหาศาลจากพระเจ้า
กำลังใจทำให้เขาทั้งหลายเกิดความกล้าหาญไม่รูจักกลัวความตาย
เขาทั้งหลายทุกคนยืนขึ้นโดยไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของผู้ใด
เขาทั้งหลายได้พลิกคว่ำแผ่นดิน ในศตวรรษแรกทั่วจักรวรรดิ์โรมในสมัยนั้นด้วยคำพยานที่ว่า
"พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของมนุษย์ทุกคน"
ผลจากการประกาศด้วยความร้อนรนเองจริงเอาจัง ทำให้ฝูงชนนับจำจวนไม่ถ้วนเป็นคริสเตียน
แม้กระทั่งทหารโรมและพวกข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงของโรม
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ว่าพวกคริสเตียนจะได้รับการข่มเหงจากพวกยิวและพวกโรมก็ตาม
โรมได้ออกกฎหมายห้ามพวกคริสเตียนชุมนุมกัน
แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ลดละได้แอบซ่อนประชุมกันตามสุสานต่าง ๆ มีพวกคริสเตียนจำนวนมากถูกฆ่าตาย
บ้างก็ถูกเผาทั้งเป็น บ้างก็ถูกปล่อยให้สิงโตกัด ในสมัยที่โรมมีอำนาจพวกคริสเตียนได้ถูกบังคับให้สู้กับสิงโตในโรงมหรสพ
ครั้นเมื่อจักรพรรดิเนโรห์ครองราชย์ พระองค์ได้เผากรุงโรมและโยนความผิดให้พวกคริสเตียน
พวกคริสเตียนเป็นจำนวนมากถูกจับไปพิพากษาบังคับให้กล่าวคำหยาบและปฏิเสธพระเยซู
แต่พวกคริสเตียนเหล่านั้นตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อ
เขาไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูถึงแม้ตัวเขาจะตายก็ตาม ในจำนวนคริสเตียนที่ถูกฆ่าตายบางคนก็มีกล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์
บางคนก็มีกล่าวไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์
การที่ยกเอาเรื่องพวกคริสเตียนถูกสังหารก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าถึงแม้โรมจะมีอำนาจทั่วทั้งภาคพื้นยุโรม,
ปาเลสไตน์
มีทหารและกองทัพอันเกรียงไกรแต่โรมไม่สามารถยับยั้งการประกาศของพวกคริสเตียน
ไม่สามารถจะเอาชนะพวกคริสเตียนได้ พวกโรมยิ่งทำการข่มเหง ฆ่าและทารุณกรรมต่าง
ๆ พวกคริสเตียนก็หากลัวตายไม่ จำนวนคริสเตียนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ
ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ค.ศ. 300 คอนสแตนตินได้เปิดโอกาสให้ทุกคนนับถือศาสนาคริสต์ได้โดยเปิดเผย
เพราะหวังผลทางการเมือง อย่างไรก็ตามเราเห็นว่าการเป็นพยานของพวกคริสเตียนมีอานุภาพมาก
ถึงแม้ตัวตายก็ยอม เพราะเขารู้แน่ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา
และทรงเป็นขึ้นมาจากตายแน่นอน
3.
พยานจากการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโล
เปาโลเป็นชนชาติยิว
บุตรของคนมั่งมี เกิดที่เมืองตาระโซ มณฑลกิลิเกีย มีสัญชาติโรม (กิจการ
22.28) เปาโลได้ถูกส่งไปศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อฆามาลิเอล
ได้รับการฝึกอบรมให้เคร่งครัดในความเชื่อของลัทธิและประเพณียิว
ภายหลังได้เข้ามาเป็นสมาชิกในตุลาการของศาลยิว เป็นผู้ที่ลงมือจับพวกคริสเตียนไปขังคุก
การตายของซะเตฟาโนนั้นเปาโลก็มีบทบาทในการฆ่าด้วย ภายหลังได้ถือสาสน์จะไปจับพวกคริสเตียนที่เมืองดาเมเซ็ก
ในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น พระเยซูได้ปรากฏแก่เปาโล
มีแสงสว่างจ้ามาล้อมไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ พระเยซูได้ตำหนิเปาโลในการที่ได้ข่มเหงพวกคริสเตียน
พระเยซูสั่งให้เปาโลเดินทางไปพบกับคริสเตียนคนหนึ่งในเมืองชื่ออะนาเนีย
ได้ชี้แจงรายละเอียดตามที่พระเจ้าได้ดลใจให้เขากล่าวแก่เปาโล
หลังจากที่ไม่ยอมรับประทานอาหารสามวัน เฝ้าแต่อธิษฐาน เมื่อเข้าใจตามที่อะนาเนียได้เล่าให้ฟัง
ก็กลับใจมาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์โดยการรับบัพติศมา (จุ่มมิดน้ำ)
พระเยซูได้ตั้งให้เปาโลเป็นอัครสาวกพิเศษที่จะออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายแก่ชนประเทศต่าง
ๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้วไม่กี่ปี
ตั้งแต่วันที่เปาโลได้เห็นพระเยซูแล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป
เขาเริ่มออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูทันที เปาโลเองเป็นผู้ที่กล่าวว่า
"ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย การเทศนาของเราก็ไม่มีหลัก" (1โกรินโธ 15.14)
การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโลจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้พวกยิวผู้มีอำนาจทุกคนรวมทั้งพวกคริสเตียนต่างก็พากันตกใจกลัวไม่ทราบว่าเปาโลจะใช้ลูกไม้แบบไหน
แต่ครั้นเมื่อเปาโลได้เผชิญกับการถูกข่มเหงครั้งแรกที่อาระเบีย
และเมื่อเกือบถูกฆ่าตาย พวกคริสเตียนจึงได้ยอมรับเปาโล
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเปาโลก็ได้เป็นผู้ออกไปประกาศทั่วทุกแห่ง ที่ปาเลสไตน์,
ยุโรม, สเปน, และโรม เปาโลได้เผชิญกับอันตรายรอบด้าน (กิจการ
9.12-38 และหนังสือจดหมายของเปาโลทุกฉบับ)
ในที่สุดได้ถูกตัดศีรษะที่กรุงโรมในสมัยจักรพรรดิเนโรห์ เมือ ค.ศ. 67
ทำไมชีวิตของเปาโลจึงเปลี่ยนไป มีอะไรทำให้ชีวิตของเปาโลเปลี่ยนไป
เขาเคยฆ่าพวกคริสเตียน ขู่คำรามจะจับพวกคริสเตียน
แต่บัดนี้เขายินดีจะยอมตายเพื่อพระนามของพระเยซู
โปรดพิจารณาข้อมูลดังต่อไปนี้
ก. เปาโลแกล้งเป็นคริสเตียนเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างหรือ?
เปาโลมิได้เปลี่ยนศาสนาเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว
(1) เงินรึ
ไม่ใช่ เพราะเปาโลมีเงินอยู่แล้ว หลังจากที่เป็นคริสเตียนเขากลับต้องยากจน
แต่เขาก็ยังยึดมั้นในความเชื่อ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เขาเห็นแก่เงินจึงเป็นคริสเตียน
(1โกรินโธ 4.11-13, 2โกรินโธ 12.14, กิจการ 20.33-34)
(2)
ชื่อเสียงรึ ไม่ใช่ เพราะเปาโลมีชื่อเสียงอยู่แล้ว (1โกรินโธ
1.26-29, 4.11)
(3) เปาโลอยากมีอำนาจรึ
เปาโลเป็นสมาชิในศาลตุลาการยิวอยู่แล้ว พระเยซูไม่มีอำนาจอะไรจะให้ เปาโลเป็นคนถ่อมสุภาพมากเท่าที่เราอ่านพบในหนังสือที่เขาเขียนไปยังคริสเตียนตามหัวเมืองต่าง
ๆ (ฟิเลโมน 23-24, 1โกรินโธ 1.13-17, 3.4-5, 2โกรินโธ 4.5)
เพราะฉะนั้นเรายืนยันได้ว่าเปาโลมิใช่เป็นคริสเตียนเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว
ข. เปาโลเป็นคนเสียสติหรือ
ถ้าเราอ่านชีวประวัติของเปาโลเราจะพบว่า เปาโลไม่ใช่เป็นคนเสียสติ
เขาเป็นคนได้รับการศึกษาสูง และเป็นคนมีเหตุมีผล เพื่อจะนำคนให้มาเป็นคริสเตียน
(กิจการ 24.24-27, 26.2-29)
ค. เปาโลถูกหลอกให้เป็นคริสเตียนหรือ
ไม่มีผู้ใดจะหลอกเปาโลได้ เพราะเปาโลได้รับการศึกษาสูงจากฆามาลิเอล (กิจการ
22.3) ในด้านศาสนาเขาเป็นคนที่เคร่งครัดที่สุด (ฟิลิปปอย 3.5-7)
พวกคริสเตียนตอนแรกไม่อาจสู้หน้าเปาโลได้ พวกเพื่อนก็ไม่อาจชัดชวนเปาโลได้
เพราะเปาโลเหนือกว่าทุกคน (ฆะลาเตีย 1.13-14)
ถ้าเปาโลมิได้แกล้งเป็นคริสเตียนเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว
ไม่เสียสติ หรือไม่ถูกหลอก ก็มีอยู่ทางเดียวเหมือนที่เปาโลได้เป็นพยานทั่วทุกแห่งว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงเพราะเขาได้เห็นพระเยซูคริสต์เจ้าบนถนนที่จะไปเมืองดาเมเซ็ก
(กิจการ 22.1-21, ฆะลาเตีย 1.23-24)
เพราะฉะนั้นเราสรุปว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และได้ปรากฏแก่เปาโลเป็นคนสุดท้าย
(1โกรินโธ 15.8)
4.
อนุสรณ์ที่ระลึกถึงการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากตายและเสด็จสู่สวรรค์นับเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้ว
อิทธิพลของพระเยซูยังคงดำรงอยู่จนทุกวันนี้ และจะดำรงอยู่ต่อไปเป็นนิตย์
มีอนุสรณ์เป็นเครื่องยืนยันว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายหลายอย่างที่เราจะได้พิจารณาดังต่อไปนี้
ก.
คริสตจักร คริสตจักรได้ตั้งขึ้นมาเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้ว
และได้ตั้งอยู่บนความเชื่อของคริสเตียนในการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู (มัดธาย
12.38-40, 16.16-20, โรม 1.3-4, 1โกรินโธ 3.10, 15.17)
ข. พระครสิตธรรมคัมภีร์
หนังสือพระคัมภีร์ทั่วทุกแห่งทุกภาษามีสามสิ่งสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้คือ
พระเยซูคริสต์, คริสตจักร, พระคัมภีร์
พระเยซูเป็นผู้ให้กำเนิดคริสตจักร และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเสมือนตัวหนังสือแห่งชีวิต
ซึ่งเป็นผู้ประกาศคำสั่งสอนแทนพระเยซู
พระคัมภีร์ทั้งเล่มยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย
ค.
วันอาทิตย์ เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย
(กิจการ 20.7, วิวรณ์ 1.10) ทั่วโลกได้ถือวันอาทิตย์เป็นวันหยุดการทำงาน
ง.
การรับประทานเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระเยซู
พระเยซูได้ตั้งพิธีนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ เมื่อพรเยซูได้เสด็จขึ้นสวรรค์ไปแล้ว
พวกคริสเตียนได้ทำพิธีระลึกถึงพระเยซูทุกวันอาทิตย์
เพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นมาจากตาย (กิจการ 2.42,
20.4, 1โกรินโธ 11.26)
อนุสรณ์เหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย
และทรงประทับอยู่ที่แผ่นดินสวรรค์
พระองค์เป็นผู้ประทานความหวังให้แก่มนุษย์ทุกคน
สักวันหนึ่งเราจะเป็นขึ้นมาจากตายด้วย ถ้าเราวางใจในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
สรุปข้อความ
คนสำคัญได้เกิดมามีบทบาทในวงการศาสนาแล้วตายจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกับคนอื่นทั่วไป
มนุษย์เราก็ยังเผชิญกับความตายอยู่นั่นเอง ทำอย่างไรมนุษย์จะไม่รู้ตาย
เราไม่สามารถพึ่งคนที่ตายไปแล้ว
ผู้ที่มนุษย์พึ่งได้คือพระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
พระเยซูได้มีข้อพิสูจน์มากมายเพียงพอที่จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงช่วยผู้ที่วาใจในพระองค์ให้ไปถึงซึ่งความไม่รู้ตายหรือชีวิตนิรันดร์ได้
เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมายังโลกนี้อีก
ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษามนุษย์ทุกคน
ได้พิสูจน์กันมาแล้วว่าเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูเป็นเรื่องจริง
ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของพระเยซูได้เปลี่ยนชีวิตของเขาเมื่อรู้แน่ว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย
เขาทั้งหลายได้ยอมตายเพื่อพระองค์
อัครสาวกซึ่งเป็นผู้รู้เห็นด้วยตาเองได้ยืนขึ้นประกาศความจริงจนตัวตาย
ปัจจุบันนี้บรรดาคริสเตียนทั้งหลายยังยึดมั่นอยู่ในความจริงข้อนี้
เพราะนี่แหละเป็นความหวังของเราทั้งหลาย
ไม่มีผู้ใดในโลกที่ได้เสนอข้อพิสูจน์มากเท่ากับพระเยซู
พระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยของมนุษย์โดยแท้
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1i-n5i2mW_eqZsx-7GJsckH0le2nIptoJ3ePcGKsxCf0/viewform